JoopIE's Blog

Finding Others Lifestyles

Friday, May 26, 2006

ไร้สาระซักวันนะ

.........26 May 06 ตื่นนอนเที่ยงวัน กินข้าวเสร็จบ่ายโมง นอนต่อถึง 6 โมงเย็นกินข้าวเสร็จทุ่มหนึ่ง แล้วก็มานั่งเล่นเกมถึงดึกแล้วก็นอน แง้ว -_-"

Wednesday, May 24, 2006

อ่านนิยายกำลังภายในจีนแล้วได้อะไร

.........อ่านนิยายกำลังภายในของจีนมาหลายเรื่อง เคล็ดลับสำเร็จสุดยอดวิทยายุทธ์ ได้ถูกบัญญัติไว้ในคัมภีร์ว่า "ต้องละสิ้นซึ่งความรัก" เพราะข้อห้ามของการฝึกยุทธ์ก็คือความฟุ้งซ่าน มิฉะนั้นจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก ลมปราณย้อนกลับ เป็นอันตรายถึงชีวิต แสดงว่าผู้คิดค้นสุดยอดวิทยายุทธ์นี้ เขารู้ว่า"ความรัก"เป็นต้นเหตุของความฟุ้งซ่าน ดังนั้นหากสามารถ"ละสิ้นซึ่งความรัก" จิตก็จะมีสมาธิแน่วแน่ และจดจ่ออยู่กับการฝึกกระบวนท่าและเดินลมปราณ สุดท้ายก็จะสำเร็จสุดยอดวิทยายุทธ์ได้ แล้วทำไมถึงต้องอยากสำเร็จสุดยอดวิชาด้วยล่ะ ก็เพราะว่าเมื่อบรรลุสุดยอดวิชาแล้ว ก็สามารถออกเดินทางประลองวิชากับเหล่าจอมยุทธ์ทั่วหล้า เพื่อที่สุดท้ายเมื่อเขาชนะคนที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดแล้ว ก็จะได้เป็นเจ้ายุทธจักรสมใจ

.........แต่หารู้ไม่ว่าผู้ที่ได้อยู่ในตำแหน่งเป็นเจ้ายุทธจักรนี้เป็นบุคคลที่อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว และไร้ซึ่งความสุขโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเขาต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง จากการที่เคยทำร้ายผู้อื่นมาโดยตลอด ไม่อาจไว้ใจใครได้นอกจากตัวเอง ต้องหมั่นฝึกฝนวิทยายุทธ์อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่เก่งที่สุดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาไปทำอะไรเพื่อใครนอกจากตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะกล่าวได้ว่าเจ้ายุทธจักรคือคนที่น่าสงสารที่สุด เพราะว่าเขา "ขาดคนที่เขารักและคนที่รักเขา" ประการแรกที่เขาขาดคนที่เขารักเพราะว่าเขาต้องการสำเร็จยอดวิทยายุทธ์ ประการที่สองที่เขาขาดคนที่รักเขาเพราะว่าเขามุ่งแต่จะเอาชนะคนอื่น

.........สุดท้ายเมื่อเขาไม่สามารถทนอยู่ในความทุกข์นั้นได้ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากยุทธภพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก หายสาบสูญไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครหาตัวเขาพบ เป็นจอมยุทธ์ผู้เหลือเพียงชื่อเสียงและคำล่ำลือต่างต่างนานา เขาเพิ่งคิดได้ว่าชื่อเสียง ลาภยศ ล้วนเป็นสิ่งลวงโลก ไร้ตัวตน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เขาเสียใจที่ตอนนั้นเขาละทิ้งทุกอย่างเพื่อฝึกสุดยอดวิทยายุทธ์ โดยเฉพาะที่เขาได้ละทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือ"ความรัก" เมื่อเขาคิดได้ดังนี้ ในวินาทีนั้นเอง ที่เขาได้บรรลุสุดยอดวิทยายุทธ์ที่แท้จริง

.........อะไรคือการบรรลุสุดยอดวิทยายุทธ์ที่แท้จริง คำตอบคือ.....เขากลับมาพบปะผู้คน อบรมสั่งสอนให้คนที่เขารับเป็นศิษย์ทำแต่ความดี ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้ลูกศิษย์เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริง นั่นคือ เพื่อเสริมสร้างร่างกาย และเพาะบ่มจิตใจให้มีสมาธิ ตั้งมั่นอยู่ในกรรมดี ไม่ใช่เพื่อเอาชนะผู้อื่นหรือล้มคู่ต่อสู้ เท่านี้แล เขาคือสุดยอดจอมยุทธ์ผู้สำเร็จสุดยอดวิทยายุทธ์ นั่นคือ "การทำอะไรเพื่อคนอื่น ด้วยความรักที่บริสุทธิ์"

..........ว่าแต่......คุณสำเร็จสุดยอดวิทยายุทธ์หรือยัง?

Simply Resonable

..........ความรักทำให้เรามีความสุขได้อย่างไร มีใครเข้าใจและอธิบายขั้นตอนหรือกระบวนการทำงานของความรักได้บ้าง ลองคิดถึงตอนที่คุณ "รัก" ใครซักคน ถามตัวเองว่า "สภาวะ" ของคุณในตอนนั้นเป็นอย่างไร คงมีอะไรซักอย่างเกิดขึ้นในตัวคุณ ซึ่งมันเป็นผลมาจากการดำเนินการบางอย่างหลังจากที่คุณรู้สึก"รัก" โดยส่วนตัวผมสันนิษฐานว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันน่าจะเป็น"สิ่งที่ดี" มิฉะนั้นเราก็ไม่น่าจะมีความสุขเมื่อมันเกิดขึ้น

..........จากข้อสันนิษฐานนั้น ผมจึงอ้างว่า "การรักใครซักคน" เป็น "สิ่งที่ดี" (จริงๆมันไม่ถูกต้องตามหลักวิชาตรรกศาสตร์ที่ว่าด้วยการให้เหตุผลหรอกนะ แต่ก็เอาเป็นว่ามันดูมีเหตุผลดีในทางภาษาศาสตร์ก็พอ) เพราะฉะนั้นหากคุณต้องการให้ "สิ่งที่ดี" เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ก็......ลอง "รัก" ใครซักคน



Friday, May 19, 2006

Share My Precious


DVD การแข่งกันแบดมินตันที่ผมไปโหลดมาจากเว็ปแบดมินตันของเมืองจีน (www.bjyq.org) ครับผม (VCD ก็พอมี แต่ว่าไม่แบ่ง เพราะว่างก :D)


  • China Master 2006 Men Single Semi Final : Peter Gade Vs. Lin Dan

  • China Master 2006 Men Single Final : Chen Jin Vs. Peter Gade

  • China Master 2006 Men Double Final : Eriksen_Lungard Vs. Fu_Cai

  • China Master 2006 Mixed Double Final : Xie_Zhang Vs. Zhang_Gao

  • China Master 2006 Woman Single Final : Lin Wang Vs. Xie Xing Fang

  • Thomas Cup 2006 Semi Final : CHN Vs. INA
  • Thomas Cup 2006 Semi Final : DEN Vs. MAS

Thursday, May 18, 2006

วิธีการสร้างความประทับใจระหว่างการสนทนา

.........

ขอแบบไม่ต้องมีหลักการอะไรมากมายนะ เน้นที่เอาไปใช้ได้จริงก็พอ

  1. หาคุณเป็นผู้ฟัง โปรดตั้งใจฟัง สบตาเขาระหว่างการฟัง(สำคัญมาก) อย่าทำสายตาล่อกแล่ก อย่ามองนาฬิกาบ่อยๆ และให้ตอบคำว่า "ครับ" "อ่าฮะ" ฯลฯ บ้างเป็นบางครั้ง เพื่อแสดงว่าคุณสนใจและติดตามสิ่งที่เค้าพูดอยู่นะเนี่ย
  2. หากคุณเป็นผู้พูด โปรดสบตาผู้ฟัง(สำคัญมาก) ใช้วัจนะภาษาควบคู่ไปกับอวัจนะภาษา (ภาษาพูด+ภาษากาย) มันจะทำให้การพูดของคุณน่าฟังและน่าติดตาม
  3. ถามเค้าบ้างว่าเค้ารู้เรื่องกับคุณหรือไม่ เช่น "ตามทันไหมครับ" "เข้าใจไหมครับ" มันทำให้เค้าเห็นว่าคุณแคร์เค้านะ ไม่ได้สักแต่ว่าอยากจะพูดของตัวเองไปเรื่อย ไม่ได้สนใจว่าคนฟังเค้ารู้เรื่องกับคุณหรือเปล่า
  4. หากคุณจะชวนเค้าคุยล่ะก็ โปรดชวนคุยในเรื่องที่เธอเขา สนใจนะจ้ะ มันจะทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างสนุกสนาน ไม่จบลงก่อนเวลาอันควร รวมทั้งจะช่วยให้เขารู้สึกดีกับคุณ เนื่องจากเขาจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงความรู้ของเขาต่อผู้อื่น
  5. จบบทสนทนาด้วยความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆที่เขายังไม่รู้ นั่นจะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ ประทับใจ และอยากคุยกับคุณในครั้งต่อไป (ทำยากสักนิด เพราะว่าคุณต้องไปทำการบ้านมาพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ซะทีเดียว ในเมื่อคุณอยากสร้างความประทับใจให้เค้านี่นา)
  6. เมื่อคุณต้องการจะแย้งความเห็นของเขา ให้ชมความเห็นของเขาก่อนแล้วค่อยนำเสนอความเห็นของคุณ (ไม่ยกตัวอย่างนะ ไปตอแหลกันเอาเอง)
  7. มีอารมณ์ขันสอดแทรกระหว่างการสนทนา ข้อนี้สำคัญมากๆๆๆๆๆ ไม่งั้นมันเป็นสนทนาที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย เพราะว่ามันเครียดจัดตลอดการสนทนาเลยแฮะ
  8. เมื่อความเงียบเริ่มเข้ามาครอบงำบรรยากาศ ประมาณว่าเพิ่งจบเรื่องที่คุยกันไป ให้มองตาคู่สนทนาของคุณซักหน่อย(ไม่ต้องจ้องนะจ้ะ) หันไปมองนกมองไม้อีกซักแว๊ป แล้วกลับไปมองตาคู่สนทนาของคุณอีกที มันควรจะไม่เงียบแล้วล่ะ ไม่เชื่อลองดู
  9. ถ้าคิดจะเล่าอะไรให้เขาฟังล่ะก็ วิธ๊เรียกความสนใจง่ายๆก็คือ การตั้งคำถาม ตั้งคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณกำลังจะเล่า พอตอนที่จะเฉลยคำตอบก็..เริ่มเล่าได้เลย ถ้าลีลาของคุณใช้ได้ล่ะก็ เค้าประทับใจกับเรื่องของคุณแน่ (ยกเว้นเรื่องของคุณไม่มัน work ตั้งแต่แรกแล้วอ่ะ)
  10. ถ้าเค้าไม่อยากคุยกับคุณ คงไม่ต้องพยามสร้างความประทับใจระหว่างการสนทนามั้งครับ :D (ข้อนี้จะบอกกูทำไมเนี่ย)

เท่านี้คือเท่าที่นึกออก(ตอนนี้) ขาดเหลืออย่างไรก็ช่วยกันเขียนไว้ใน comment นะครับ

Read myself Write myself

.........ผมเป็นคนที่ต้องการให้คนอื่นมองว่าผมเจ๋งอยู่เสมอ ไม่ว่าในเรื่องใดๆ ความภูมิใจในตนเองที่เกิดจาการที่คนอื่นชื่นชมผม มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ผมต้องการ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมต้อง "เป็นหนึ่ง" อยู่ตลอดเวลา ผมแค่อยาก "เป็นหนึ่ง" ใน "คนที่ไม่ถูกลืม" และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยึดติดกับชัยชนะ และเกลียดความพ่ายแพ้ เพราะว่า "ผู้ชนะไม่เคยถูกลืม" หรือคุณจะเถียงว่ามันไม่จริง (อย่าบอกว่ามันไม่จริงในโลกของคุณ เพราะว่าผมอยู่ในโลกของทุกคน)
.........ผมเคยอ่านหนังสือเจอข้อความหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ถ้าคุณไม่โดดเด่น คุณจะถูกลืม" นั่นคือความจริงสำหรับผม ผมยอมรับและเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของข้อความนี้มาก ผมว่ามันตรงกับความเป็นตัวผมมากที่สุด ผมพยามทำตัวโดดเด่น เพราะว่าผมไม่ต้องการถูกลืม ผมต้องการให้ทุกคนที่รู้จักผม จำผมได้ รับรู้ในความมีตัวตนของผม ผมจะเป็นกังวล เมื่อไม่สามารถติดตามได้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นมันสำเร็จหรือไม่ เพราะว่าผมต้องการทราบว่าผลลัพท์ของสิ่งที่ผมทำนั้น มี impact เป็นที่สนใจ และทำให้คนอื่นนึกถึงผม จนกระทั่งที่สุดของมันคือ ทำให้คนอื่นถามหาถึงผม ต้องการพบผม ต้องการคุยกับผม นั่นคือผมได้สิ่งที่ผมต้องการที่สุดแล้ว

Wednesday, May 17, 2006

ควันหลงจากการแข่งแบด

เพิ่งได้รูปมาจากพี่ที่ตีคู่ผสมด้วยกัน พอมาดูแล้วก็....อืม คู่เรานี่....warm ดีจริงๆ :P


ป.ล. รูปอื่นจะทยอย Update ให้นะคร้าบ(ยังไม่ได้รูปจากพี่คนอื่นๆเลยง่ะ)

นิวรณ์ 5

เมื่อคืนนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาอัดยานอนหลับเข้าไปหลายหน้า ได้ความมาว่า

นิวรณ์ 5 คือ กิเลสอย่างหยาบ เครื่องขัดขวางหรือบั่นทอนปํญญา
  1. ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
  2. ความโกรธ ความอาฆาต
  3. ความง่วง
  4. ความฟุ้งซ่าน
  5. ความสงสัย

ตัดนิวรณ์ 5 ได้ จะบรรลุ(แค่)ระดับพระอนาคามี นิวรณ์ 5 นี้คือสามข้อแรกของ สังโยชน์ 10 กล่าวคือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส ส่วนอีก 7 ข้อข้าน้อยจำไม่ได้ครับ รู้แต่ว่าหากตัดได้อีก 7 ข้อที่เหลือถึงจะได้เป็นพระอรหันต์ แต่จริงๆพออ่านดูแล้วผมว่าแค่ตัดข้อแรกของ นิวรณ์ได้ก็น่าจะเป็นเทพแล้วนะครับ -T_T-

ถึงตอนนี้พอหัวถึงหมอนไม่ถึง 5 นาที รู้สึกตัวอีกทีก็เช้า สงสัยว่าเรานี้บรรลุเร็วมาก (เข้าใจนิวรณ์ข้อสามเป็นอย่างดี) :D

CU Badminton Group

..
ลงรูปพี่ๆ CCU ไปแล้วไม่ลงรูปพี่ๆที่ CU ได้อย่างไรเนอะ
....

...ส่วนหนึ่งของบัญชีรายรับรายจ่าย... -_-'

...
...

CCU Badminton Group


วันที่ 30 เมษายน 2549 ผมได้ร่วมทีมชมรมนกเงือก (กลุ่มพี่ๆชาว Caltex & Chevron & Unocal) ไปแข่งแบดกับทีม Dream Team ที่คอร์ดแบด ฑิมณภัทร์ อยู่ในซอยประชาราษฎร์ 8 แถวๆท่าน้ำนนท์ (ใครไม่รู้จักก็ขอให้คิดว่ามันโคตรไกลจากแถวบ้านผมที่อยู่ตรงพระราม 3 ก็แล้วกันครับ) คอร์ดที่นี่ดีมาก พื้นยางอย่างดี ไฟสว่างดีด้วย เสียอย่างเดียวคือร้อน (แต่จริงๆก็เป็นข้อเสียของสนามแบดทุกที่ตอนหน้าร้อนล่ะครับ)

ครั้งนี้ผมถูกจัดให้ลงแข่งในประเภทคู่ผสม ซึ่งผลการแข่งขัน เสมอ ด้วย score 15-4 และ 7-15

พอแข่งเสร็จก็เตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอคู่อื่นแข่งจนเสร็จสิ้นแล้วก็จะไปรับประทานอาหารกัน แต่แล้วพี่ในทีมผมเค้าก็ให้ผมลองแข่งอีกในประเภทชายคู่ ซึ่งตอนแรกได้จัดคู่ไว้แล้ว แต่ว่าถึงวันแข่งจริงมีคนไม่มา ทำให้ผมได้ลงแข่งแทน

ผลการแข่งขัน ชนะด้วย score 15-10 และ 15-8 :D



อันนี้ตอนถ่ายรูปรวม (นี่กูอยู่ทีมไหนวะเนี่ย)

เพิ่งได้ Up เพราะว่าเพิ่งทำเป็น

วันที่ 22-24 ต.ค. 2548 ผมได้ไปทำบุญที่จังหวัดอุดรธานีกับที่บ้านของน้องคนหนึ่งที่ผมสอนอยู่ ด้วยความเมตตาจากคุณพ่อและคุณแม่ของน้องคนนี้ที่ช่วยดูแลผมเป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง ขอขอบพระคุณท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ในครั้งนั้นเมื่อกลับมาถึงกรุงเทพ ผมได้แต่งกลอนให้คุณแม่เพื่อเป็นการตอบแทนท่าน แล้วก็ขออนุญาตนำมาให้ทุกท่านในที่นี้ได้อ่านกันด้วยครับ

http://www.doppystudio.com/joopie/Trip_Udorn.htm

Tuesday, May 16, 2006

How to make a decision

Once I've read a biographical article of Kobe Bryan, an NBA Superstar. He is a basketball player who started playing in NBA without passing an university graduation. Very few players would achieve in this career as if they had never played in NCAA (National Collegiate Athletic Association) level. But when he finished high school level, he knew he was good enough to play in NBA and he wanted to play NBA as well. He couldn't help worrying about his important decision. So he asked his close friend about what he was concerned.

He asked " What do you say if I go to play basketball in NBA now? ".
His close friend said " Follow your heart ".

That's all. By now he is a basketball player who reigned 2 NBA titles and has been voted to present in all NBA all-stars since the first year he played in NBA.

Friday, May 12, 2006

Nothing but She/He

เมื่อคุณรู้สึกดีกับใครซักคน คุณไม่ต้องการให้เค้ามีตำแหน่งทางสังคมใดๆสำหรับคุณ เค้าไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนคุณ เพื่อนสนิทคุณ คนรักของคุณ ฯลฯ คุณแค่รู้สึกพิเศษกับเค้าเท่านั้น คุณรู้สึกว่าเค้าถูกชะตากับคุณ เข้ากับคุณได้ รับรู้และยอมรับในความเป็นตัวคุณ ดังนั้นคุณจะหาเรื่องให้ตัวเองได้ไปอยู่ใกล้ๆ พบปะ พูดคุย ทำกิจกรรมร่วมกัน นั่นอาจจะเป็นวิธีที่ทำให้ความรู้สึกดีๆที่คุณมีต่อเค้า เกิดขึ้น คงอยู่และเพิ่มพูน ความรู้สึกดีๆเหล่านั้นมันเติมเต็มวันวานของคุณได้ มันเป็นแรงบันดาลใจของคุณได้ มันเป็นพลังที่ขับเคลื่อนและผลักดันให้คุณทำอะไรต่อไปด้วยความเบิกบาน ทั้งที่จริงๆแล้วคนคนนั้นของคุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็เป็นได้ ธรรมชาติสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาไว้ในตัวมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ยังคงอยู่กระมัง เหมือนที่ฉันยังคงอยู่เพราะ"ปรารถนา" ที่จะได้รู้สึกดีกับเธอตลอดไป

Thursday, May 11, 2006

เพื่ออนาคตทางการเงิน : ทำบัญชีรายรับรายจ่าย

อยากมีเงินเยอะๆกันไหมครับ อยากให้ตัวเลขยอดเงินในบัญชีธนาคารของเรามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไหมครับ เรื่องคำตอบคงไม่ต้องพูดถึง แต่วิธีการที่จะให้มันเป็นไปอย่างที่เราตอบนี่สิ ทำยังไงล่ะ

การที่เราจะมีเงินเพิ่มขึ้นมาได้มีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือเพิ่มรายได้ วิธีที่สองคือลดรายจ่าย
ทั้งสองวิธีเป็นวิธีที่ท้าทายและทำยากพอๆกัน แต่หากคุณทำงานประจำ คุณคงคิดว่าวิธีที่สองคงจะง่ายกว่าแล้วใช่ไม๊ครับ ผมจะมอบเครื่องมือตัวหนึ่งที่ใช้ได้อย่างมีประสิทธิผลในการลดรายจ่ายของคุณ นั่นคือ การทำรายรับรายจ่าย

อีก 1 เดือนจะครบรอบสองปีที่ผมเริ่มทำรายรับ-รายจ่ายประจำวัน ตอนเริ่มต้นทำวันแรก ผมก็คิดแค่ว่าก็ทำๆมันไปงั้นๆแหล่ะ เห็นคนอื่นเค้าทำกัน ไม่รู้ว่ามันดียังไง ช่วงแรกๆจะลืมบ่อยมาก เคยดองไว้เป็นอาทิตย์แล้วค่อยมานั่งนึกว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เราใช้จ่ายอะไรไปบ้าง แต่พอผ่าน 3 เดือนแรกไปได้ คุณจะเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำไปเสียแล้ว ถ้าไม่ได้ทำคุณจะเกิดความกังวลใจขึ้นมาทันทีว่าเราได้ใช้จ่ายอะไรไปโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือเปล่านี่ เรามีรายจ่ายงี่เง่าๆ ที่ควรกำจัดออกไปหรือเปล่าหนอ ( ไม่รู้เป็นเฉพาะผมหรือเปล่านะนี่ ) ถ้าคุณไม่เคยทำรายรับ-รายจ่าย ผมจะบอกคุณว่า "คุณมีโอกาสที่จะเป็นคนที่ใช้จ่ายอย่างไม่มีวินัยสูงมาก "

ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆให้คุณลองคิดตามดูนะครับ สมมติว่าวันจันทร์ก่อนออกจากบ้าน คุณนำเงินเข้ากระเป๋าไปเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่ได้จำ รู้แต่ว่ามันก็เป็นจำนวนที่เคยพอเพียงสำหรับใช้จ่ายในหนึ่งอาทิตย์ จนวันหนึ่งก่อนถึงวันจันทร์หน้า คุณเปิดกระเป๋ามาด้วยความแปลกใจว่าเงินคุณหายไปไหนหมด หรือคุณอาจจะไม่ทันได้คิดก็ได้ว่าคุณใช้เงินอะไรไปบ้าง คุณจะทำแค่เพียงเดินไปที่ตู้ ATM ที่ใกล้ที่สุด หรือไม่ก็ใช้จ่ายต่อไปด้วยบัตร Hell Credit ของคุณ (รุนแรงไปไม๊ครับคำนี้) แล้วทุกอย่างก็จบ รอความเศร้าใจอีกทีตอนคุณไป Update book ของคุณที่ธนาคารแล้วถามตัวเองว่า "ทำไมมันเหลือแค่นี้วะ" หรือไม่ก็ตอนที่ใบแจ้งหนี้บัตร credit ของคุณมาถึง ตอนนั้นเองที่คุณเพิ่งจำได้ว่าคุณใช้จ่ายอะไรผ่านบัตร credit ไปบ้าง ผมเชื่อว่ามีน้อยคนที่จะจดหรือจำไว้ ว่าเราใช้จ่ายอะไรผ่านบัตร credit ไปบ้างในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้คือผลสรุปของการใช้จ่ายอย่างไม่มีวินัย

ที่นี้ผมจะบอกคุณว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หากคุณใช้จ่ายโดยไม่ได้ทำรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ มันมีสิ่งที่ผิดเกิดขึ้นอยู่เสมอเมื่อคุณกำลังจะใช้จ่าย สิ่งนั้นก็คือ " สิ่งที่คุณคิด" ผมอยากให้คุณลองสังเกต สิ่งที่คุณคิดก่อนที่คุณจะใช้จ่าย ถ้าสิ่งนั้นคือ "ไม่มี" คุณคือสุดยอดผู้ไม่มีวินัยในการใช้จ่ายแล้วครับ แม้มันเป็นเรื่องปกติมากที่คุณจะกินอะไร ซื้ออะไร ใช้จ่ายอะไร ไปโดยบอกตัวเองแค่ว่า "ก็ฉันอยากกิน หรือ ก็ฉันอยากได้นี่นา" แต่ในเมื่อคุณไม่ได้คิดก่อนที่จะใช้จ่าย มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ "เงิน" ของคุณมันมาเร็ว ไปเร็ว และน้อยลงทุกวัน ก็ภายใต้เงื่อนไขนี้ มันนำมาซึ่งรายจ่ายที่ไม่จำเป็นมากมายนี่นา (ผมนิยมเรียกมันว่ารายจ่ายงี่เง่า) ในส่วนนี้ผมแนะนำอะไรไม่ได้มากนอกเสียจากว่า "โปรดคิดก่อนที่จะปล่อยให้มือของคุณหยิบเงินในกระเป๋าออกไปซื้ออะไรก็ตามว่าสิ่งนั้นมันจำเป็นหรือไม่" จะแนะนำกันว่าให้คุณท่องไว้ครับ ระหว่างที่คุณจะจ่ายเงิน ให้ท่องว่า"มันจำเป็น มันจำเป็น มันจำเป็น" หากผ่านสามคำนี้ไปได้โดยไม่รู้สึกอะไร ก็จงจ่ายไปด้วยความยินดีครับ :D

พล่ามมาตั้งนานแล้วเรามาเข้าถึงวิธีการทำรายรับรายจ่ายอย่างมีระบบกันนะครับ (ทำไมต้องมีคำว่าอย่างเป็นระบบ โปรดอ่านต่อไปครับผม)

1. ประมาณรายจ่ายของเดือน-สัปดาห์-วัน
ถามว่ากำหนดมาจากไหน คำตอบคือ กำหนดมาจาก "คุณ" เริ่มต้นที่รายได้ของคุณน่าจะง่ายที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้นนะครับ กล่าวคือ หากคุณมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท คุณก็กำหนดขึ้นมาเองว่าจะ saving 20% ของรายได้ เป็นเงินส่วนที่จะไม่ทำอะไรกับมันอย่างแน่นอนหากไม่มีเหตุฉุกเฉิน หรือเหตุจำเป็นจริงๆ มาถึงตอนนี้คุณก็จะมีเงินหลังหักส่วน saving ไปแล้วเท่ากับ 16,000 บาท เป็นเงินจำนวนที่คุณสามารถใช้ได้เต็มที่ภายในหนึ่งเดือน หากหมดเดือนแล้วเงินคุณเหลือเท่ากับ 0 บาทก็ถือว่าโอเค ไม่ได้ใช้จ่ายเกินแต่อย่างใด แต่จริงๆแล้วก็คือควรจะเหลือนะผมว่า

ต่อไปเรามาคิดต่อว่าจะแบ่งสรรปันส่วนอย่างไร ให้เงิน 16,000 ที่เรามีอยู่นี้ ถูกใช้ไปอย่างมีค่าที่สุด และที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ "ใช้ไม่หมด" ก็มันจะได้เหลือไว้ให้เราเผื่อเหลือเผื่อขาดในเดือนที่คุณเกิดจำเป็นต้องใช้เงินเกิน 16,000 บาทน่ะสิ เพื่อที่ว่ามันจะได้ไม่กระทบเงินในส่วน saving ที่เราห่วงนักห่วงหนาว่ามันจะไม่เพิ่มนั่นแหล่ะครับ เริ่มต้นจากการคิดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายเดือน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน แล้วไปต่อที่ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายสัปดาห์ เช่น ค่านันทนาการ (สมมติว่าคุณต้องไปเล่นกีฬากับกลุ่มเพื่อนของคุณทุกวันเสาร์ แล้วไปต่อกันด้วยอาหารซักมื้อ ซึ่งก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเท่ากับเท่าไหร่ก็ว่าไป) ในส่วนนี้เมื่อคิดได้แล้วก็อย่าลืมคูณ 4 เข้าไปด้วยนะครับ ต่อไปก็ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง

เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ผมจะลองสมมติตัวเองเหล่านี้ดูนะครับ
ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายเดือน
-ค่าน้ำ 200 บาท
-ค่าไฟ 2000 บาท
-ค่าโทรศัพท์ 700 บาท
-Donation 100 บาท

รวมได้ 3000 บาท

ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายสัปดาห์
-ค่านันทนาการ 500 บาท
-ค่าสังสรรค์ครอบครัว 500 บาท (เช่นพาครอบครัวไปทานข้าวนอกบ้าน)
-ค่าสังสรรค์กับคนรัก 500 บาท ( หากเป็นแฟนแต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากคำว่าครอบครัวใช่มะ)
-ค่าสังสรรค์กับเพื่อนๆ 500 บาท (เพื่อนเราก็ช่างชวนไปหาเรื่องเสียเงินจริงๆ)

รวมแล้วแบบไม่ลืมคูณ 4 เข้าไปก็เป็น 8000 บาท

ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายวัน
-ค่าอาหาร 150 บาท
-ค่าเดินทาง 50 บาท
-เบ็ดเตล็ด 50 บาท ( เช่นค่าขนมนมเนยนอกรอบอาหารสามมื้อ)

รวมแบบคิดแค่ 20 วันต่อเดือนนะ เอาแบบว่าวันที่ต้องไปทำงาน ก็จะได้ 5000 บาท
รวมทั้งหมดก็ 16,000 บาทพอดี โอ้ ไม่ได้ตั้งใจเลยนะเนี่ย :D

2. ทบทวนข้อหนึ่ง แล้ว ตัด ตัด ตัด
หากคุณพอใจแล้วกับรายจ่ายที่เกิดขึ้นในข้อ 1 ให้คุณข้ามข้อนี้ไปได้เลยครับ แต่ผมมั่นใจว่าร้อยละ 99 จะอ่านข้อสองต่อ :P เพราะผลรวมรายจ่ายจากข้อหนึ่งทำไมมันไม่โสภาเอาเสียเลย หากคุณลองไปทำตามข้อหนึ่งดูแล้วให้คุณสังเกตว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายสัปดาห์มันมักจะสูงที่สุดเสมอ ทั้งที่จริงๆแล้วน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายวันที่คูณ 20 ไปแล้วต่างหากที่น่าจะสูงที่สุด เหตุผลง่ายๆมีอยู่ว่า ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นรายสัปดาห์มันไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริงๆรายสัปดาห์น่ะสิ

อย่างเช่น ค่าสังสรรค์กับเพื่อนๆของคุณ ถ้าคุณเปลี่ยนจากทุกอาทิตย์เป็นทุกสองอาทิตย์ เงินของคุณก็จะเหลือกลับมาทันที 1000 บาท หากคุณจะคิดว่าไม่ได้ๆ ผมต้องไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆทุกอาทิตย์ เพราะว่าผมเป็นพวกขาดเพื่อนไม่ได้ ผมจะบอกคุณว่าให้เปลี่ยนค่าสังสรรค์นี้เป็นค่าโทรศัพท์ในการโทรไปหาเพื่อนแทน รับรองว่าคุณใช้เงินน้อยว่า 500 บาทต่อสัปดาห์แน่ หรือไม่ก็ลองคิดดูว่า อนาคตทางการเงินของคุณกับความสนุกสนานชั่วครั้งชั่วคราวกับเพื่อนๆคราวนี้อะไรสำคัญกว่ากัน

ต่อไป ค่าสังสรรค์กับคนรัก เช่นเดียวกันถ้าคุณเปลี่ยนจากทุกอาทิตย์เป็นทุกสองอาทิตย์ เงินของคุณก็จะเหลือกลับมาทันทีอีก 1000 บาท หากคุณจะคิดว่าไม่ได้ๆ ผมต้องดูแลแฟนของผมอย่างดีที่สุด เราจะต้องเจอกันอย่างน้อย อาทิตย์ละครั้ง ไม่งั้นผมจะขาดใจ คุณลองเปลี่ยนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปเป็นค่าโทรศัพท์หาแฟนคุณก็ได้ รับรองว่ามันจะเหมือนกับกรณีค่าสังสรรค์กับเพื่อนๆล่ะครับ หรือไม่ก็บอกแฟนคุณไปตรงๆเลยครับ ว่าคุณต้องการออมเงินไว้สู่ขอเค้า รับรองว่าเค้าเห็นดีเห็นงาม และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณกับเค้าจะสังสรรค์กันน้อยลงในวันนี้

สำหรับข้ออื่นก็ขอให้ลองไปตัด ตัด ตัด ดูนะครับ มันตัดได้เยอะมาก เช่น ค่าอาหารรายวัน ผมคิดที่ 50 บาท/มื้อ ถ้าคุณจะงกสุดๆก็ลองเปลี่ยนเป็น 20/ มื้อแล้วคิดว่าจะกินมาม่าตลอด ก็ลองดูครับ คุณจะเหลือเงินอย่างน้อยๆ อีก เดือนละ 600 บาท ลองคิดไปคิดมา ตัดไปตัดมา ผมว่าไม่น่าจะใช้เกิน 13,000 บาทนะครับ คุณก็ใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ สมถะ มีเงินเหลือเก็บเหลือออม หรือจะเอาไปลงทุนทำมาหากินกับหุ้น พันธบัตร กองทุน หรือแม้แต่สร้างธุรกิจของคุณเองก็ย่อมเป็นไปได้

3. จำกัดงบประมาณที่จะใช้จ่ายในแต่ละวัน
วิธีที่ผมชอบในการบังคับให้เราทำตามข้อสามนี้ก็คือ ใส่เงินในกระเป๋าเท่ากับจำนวนเงินสูงสุดที่เราตั้งเป้าหมายว่าเราจะไม่ใช้เกินนี้ เพราะถึงเราอยากจะใช้เกิน ก็ไม่มีให้ใช้ :D ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่ผมประมาณไว้ในข้อหนึ่ง ตัด ตัด ตัด เรียบร้อย ในข้อสอง ผมได้เป้าหมายสุดท้ายมาว่า ผมไม่ควรใช้เงินเกินวันละ 100 บาท ผมก็จะให้มีเงินในกระเป๋าไม่เกินวันละ 100 บาท เท่านี้เองครับ ง่ายๆใช่ไหมครับ

4. เมื่อมีเหตุให้ต้องใช้เงินเกินที่ตั้งเป้าหมาย
มันเกิดขึ้นแน่นอน มันเกิดขึ้นแน่ๆ และมันเกิดขึ้นบ่อยๆ ทำยังไงดีล่ะ
4.1 ถามตัวเองก่อนว่า"มันจำเป็นไม๊" ถ้าคำตอบคือใช่ ก็เดินไปที่ ATM หรือไม่ก็เพิ่งบัตรเทพเจ้าของคุณ แต่ถ้าคำตอบคือ ไม่ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก มันจบ
4.2 ถามตัวเองต่อไปหลังจากได้จ่ายหรือไม่ได้จ่ายเงินจำนวนนี้ไป ว่า "ทำไมมันเกิดขึ้น" "มันอยู่นอกเหนือการทำข้อ 1 ของเราได้อย่างไร" ถ้าตอบตัวเองได้แล้ว คุณมีทางเลือกว่าจะกลับไปแก้ข้อ 1 ใหม่ หรือไม่ก็อย่าทำให้มันเกิดขึ้นอีก ง่ายมะๆ

5. บันทึกทุกบาททุกสตางค์ที่เข้า-ออกจากกระเป๋าสตางค์ของคุณไว้
ข้อนี้สำคัญมาก ไม่งั้นมันจะเรียกว่าการทำรายรับรายจ่ายได้อย่างไร อย่าลืมแบ่งแยกช่องในตารางเป็นรายจ่ายในส่วนใด แบบใด ไว้ด้วยนะครับ จะได้ง่ายต่อการตรวจสอบเมื่อครบสัปดาห์หรือครบเดือน วันใดที่คุณใช้เงินเกินที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ ให้ใส่สีแดงไว้ที่วันนั้น พอครบอาทิตย์แล้ว ให้คุณตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ฉันจะทำให้มันมีสีแดงน้อยลง จนถึงสัปดาห์ที่มันไม่มีสีแดง ต่อเนื่องกันซักเดือน นั่นคือคุณเริ่มประสบความสำเร็จทางการเงินเบื้องต้นแล้วครับ

สุดท้ายนี้ที่ติดเอาไว้ว่าทำไมต้องมีคำว่า อย่างเป็นระบบด้วย คำตอบก็คือหากคุณทำอย่างไม่เป็นระบบ คุณก็แค่บันทึก บันทึก บันทึก เงินที่เข้าออกจากกระเป๋าสตางค์ของคุณไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน หากคุณกลับมาสังเหตพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณ จากรายรับรายจ่ายนั้น แล้วปรับปรุงแก้ไข แต่มันก็ไม่ทำให้เงินของเราเพิ่มอย่างเป็นรูปธรรมซักเท่าไหร่หรอกครับ ทางที่ดีก็คือจงคิดและทำรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ นั่นแหล่ะครับ ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ผมคิดว่าคงไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการอะไรมากนัก เพราะผมเน้นที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงมาเล่าต่อให้ทุกท่าน ก่อนจะจบไปก็ ขอบอกเคล็ดลับความสำเร็จหนึ่งเดียวในการประสบความสำเร็จทางการเงินด้วยการทำรายรับรายจ่ายไว้ ณ ที่นี้ นั่นคือ "การควบคุมจิตใจของตนเอง" สวัสดีครับ