JoopIE's Blog

Finding Others Lifestyles

Wednesday, June 14, 2006

Resume จ๋า

........ผมกำลังจะเปลี่ยนอาชีพ ผมกำลังจะเป็นมนุษย์เงินเดือน!! อาชีพที่พบอิสระทางการเงินได้ยากที่สุด (ถ้าไม่มี sideline ควบคู่ไปด้วย) แต่หนึ่งปีที่ผ่านมา สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม ทำให้ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับครั้งหนึ่งของชีวิต ไม่งั้นชีวิตเราก็คงขาดรสชาติอะไรไปซักอย่าง เมื่อผมยอมรับมันมากขึ้น ก็เริ่มต้นสมัครงานกันได้ ตอนสมัครก็คิดแค่ว่าอย่างน้อยถ้าไม่รุ่งก็จะได้กลับมาทำธุรกิจการศึกษา หรือไม่ก็ธุรกิจซื้อมาขายไปเหมือนเดิม
.......การสมัครงานไม่ใช่เรื่องยาก มันง่ายกว่าการสอนตรีโกณประยุกต์ให้น้องม. 5 มากนัก แต่ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปที่ฝ่าย HR ของบริษัทที่ผมสนใจ แล้วบอกกับเค้าว่า "ผมมาสมัครงานตำแหน่งวิศวกรครับ" ผมจะต้องมี Resume ของตัวเองก่อน ซึ่งโดยขั้นตอนการทำ Resume แล้ว ผมก็ขอเล่นง่ายๆ Style JoopIE ดังนี้
  1. ใช้สุดยอดเครื่องมือในการค้นหา Resume Format เข้าท่าๆซักอันจากแหล่งทรัพยากรที่ดีที่สุดในเรื่อง Data & Information นั่นคือ Internet (Google พระเจ้า)
  2. ในส่วนของ Profile ผมแต่งประโยคภาษาอังกฤษงามๆแจ่มๆไม่เป็นอ่ะ แต่เราฉลาด(แกมโกง)นี่นา อิอิ
  3. เข้าเว็ป JobDB, Search ตำแหน่ง Engineer, Click เข้าไปที่บริษัทไหนไม่รู้ สองสามบริษัท แล้วก็เอา Requirement จากบริษัทเหล่านั้นนั่นแหล่ะ ที่มันค่อนข้างตรงกับเรา Copy-Paste ลงไปใน Profile ของเราเลย
  • Good Command of spoken and written in English & computer literacy
  • Communication & Presentation Skills
  • Resourceful and enthusiastic in learning new things

...........สวยงาม ดูดีมีชาติตระกูล (ลอกเค้ามาทั้งนั้น) 555

.........เเท่านี้ละกัน อุบาทว์ตัวเอง บอกความชั่วร้ายไปเยอะละ (แต่จริงๆมีอีกเยอะมากที่ไม่บอก :P) สรุปว่าในที่สุดเราก็ได้ Resume หน้าตาดีมาหนึ่งฉบับ พร้อมรบในขั้นแรก เพราะนี่คือกระดาษใบแรกที่ทำให้บริษัทรู้จักและประเมินผมในเบื้องต้นไปแล้วเรียบร้อย เอกสารอื่นๆก็ Xerox ไปโลด จะมีส่วนสำคัญที่สุดคือขั้นตอน "การสัมภาษณ์งาน" เรียกว่าเป็นขั้นตอนที่มีผลต่อการได้หรือไม่ได้งานถึง 80% เลยทีเดียว ขั้นนี้ขอบอกว่าขึ้นอยู่กับไหวพริบ สติ แล้วก็...ความพริ้วครับผม :D

Tuesday, June 06, 2006

ทำตามหลักการ

........วันนี้นั่งอ่านบทความคอมพิวเตอร์ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น ซึ่งตาม style ผม เวลาผมนั่งอ่านอะไรก็ตามที่ไม่ได้ seriuos มากนัก ผมจะเปิดเพลงฟังไปด้วย เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันนี้ฝนตกทั้งวันเลย ซึ่งตอนแรกที่ฝนตกเนี่ย มันก็ตกพรำๆครับ อากาศกำลังเย็นสบาย แต่พอสัก 16.30 น. ฝนตกหนักขึ้น เสียงฝนมารบกวนการฟังเพลงของผม(ตกลงมันอ่านบทความหรือฟังเพลงวะ :P) ผมก็เลยต้องเปิดเสียงเพลงให้ดังขึ้น ไม่งั้นมันก็ฟังไม่รู้เรื่องอ่ะดิ แค่นี้ก็น่าจะจบ แต่....ลองคิดดูสิว่า "ถ้าเราเปิดเสียงดังขึ้น มันก็จะกินไฟมากขึ้น" ผมขี้งก เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรผมจะยอมเสียค่าไฟเพิ่ม ก็เลยขอย้อนกลับไปใช้หลักวิชาการในการแก้ปัญหากันหน่อย
........จากที่เราเคยเรียน Safety Engineering ได้กล่าวไว้ว่า การแก้ปัญหาเรื่องมลพิษทางเสียง มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี
  1. จัดการที่ตัวกำเนิดเสียง ก็คือกำจัดต้นเหตุหรือตัวก่อมลพิษทางเสียง ซึ่งในที่นี้ก็คือ ฝน แต่ผมก็ไม่สามารถทำให้ฝนหยุดตกได้ ดังนั้น ข้อนี้ผ่าน
  2. จัดการที่ตัวกลางหรือพาหะนำเสียง ก็คือปิดกั้นหรือขัดขวางการเดินทางของเสียงผ่านตัวกลาง ซึ่งในที่นี้ก็เช่นการปิดหน้าต่าง ข้อนี้เข้าท่า เป็นตัวเลือก
  3. จัดการที่ผู้รับเสียง ก็คือการป้องกันไม่ให้เสียงมาถึงผู้ฟัง ซึ่งในที่นี้ก็เช่น ใส่ Headphone, Earplug ข้อนี้ก็เข้าท่า เป็นตัวเลือก

........เมื่อผมลองคิดดูแล้ว สรุปผมเลือกข้อสอง ด้วยเหตุผลสนับสนุนดังนี้

  1. กระทำได้ง่าย แค่ลุกไปปิดหน้าต่าง
  2. ป้องกันเสียงอย่างอื่นได้ด้วยนอกจากเสียงฝนตก
  3. เปิดเสียงเพลงดังเท่าเดิม ประหยัดไฟ
  4. ไม่ต้องถอดสายเสียบลำโพง เพื่อต่อ Headphone ให้ยุ่งยาก และที่สำคัญคือผมก็ไม่ต้องไปนั่งขุด Headphone ในตู้
  5. ไม่ต้องมารู้สึกรำคาญที่จะต้องมีอะไรมาครอบหัวและเสียบอยู่ที่หู และสายที่จะมาเกะกะ Keyboard อีก

........มีเหตุผล คิดรอบคอบ เข้าท่าที่สุดแล้ว เอาล่ะ....ไปปิดหน้าต่างเรียบร้อย ฟังเพลงมีความสุข ประหยัดไฟ ไม่ต้องเปิดเพลงเสียงดัง แต่ซักพัก.....ร้อนว่ะ! เปิดแอร์ดีกว่า o"-___-"o

........ทำไมกูไม่ปิดเพลง แล้วฟังเสียงฝนแทนเสียงเพลงวะ ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องเสียอะไรเลย

  1. ประหยัดไฟสุดๆ
  2. ไม่ต้องลุกไปปิดหน้าต่าง
  3. ไม่ต้องถอดสายลำโพงเพื่อเสียบ Headphone ให้ยุ่งยาก
  4. ไม่ต้องไปขุด Headphone ในตู้
  5. ไม่ต้องมารำคาญอะไรครอบหัว และสายเกะกะ Keyboard
  6. ไม่ต้องนั่งพิมพ์อะไรปัญญาอ่อนอย่างนี้!!!

จากเหตุการณ์นี้ขอสรุปสั้นๆว่า "ทุกข์อยู่ที่ใจ"

อาเมน

Sunday, June 04, 2006

จริงหรอวะเนี่ย

........05.20 น. 5 มิถุนายน 2549 ข้าพเจ้าตื่นมาก่อนเวลาอันควร (ก่อน 9.00 น.) เนื่องด้วยความรู้สึกแสบๆคันๆบริเวณหัวไหล่ด้านขวาวิ่งเข้ามารายงานตัว ครั้นนำมือซ้ายไปลูบดูก็พบความจริงว่าข้าพเจ้าโดนแมลงสัตว์กัดต่อย ไปอย่างน้อย 3 ที อันด้วยจำนวนตุ่มที่ปรากฏขึ้นนี้ จะมาจากสาเหตุอื่นก็หาจะเป็นได้ไม่ ถึงความง่วงจะยังคงรุมเร้าในภวังค์นั้น แต่ก็ยังอ่อนด้อยกว่าความคันที่มาเร้ารุมในภวังค์นี้ ในเพลาแรกก่อนเปิดไฟห้องนอน ผมใคร่ครวญไปว่าเป็นสัดว์โลกตัวที่เรียกว่ายุงหรือมดกันหนอ ที่มาเบียดเบียนเราในครานี้ ครั้นเมื่อพิจารณาไตร่ตรอง "ความคัน" ดูแล้วเห็นว่าอาการ "คันกู"ในตอนนี้คงจะมิใช่อาการ "คันยุง" แต่หากน่าจะเป็นอาการ " คันมด" ด้วยเหตุว่าสองอาการคันนี้ มันแตกต่างและแยกแยะได้ ด้วย "ประสบการณ์คัน"
........และแล้วเมื่อเปิดไฟห้องเพื่อตรวจตรา ก็เห็นจริงดังการคาดการณ์ "มดขึ้นที่นอน" ครับท่าน เวรเอ้ย มาจากไหนวะเนี่ย วัยรุ่นเซ็ง (หมดความอดทนในการพิรี้พิไรละ) หอบผ้าหมอนที่นอนนั่งออกจากห้องเพื่อนำไปกำจัดมดและทำความสะอาด ระหว่างนั้นก็ลองคิดดูว่า "มันมาได้ไงวะ" เมื่อวานทำไรในห้องที่เป็นการเชื้อเชิญมด ทบทวนไปได้ความว่า ไปสอนเลขตอนบ่าย กลับมาไปตีแบด ตีแสร็จก่อนกลับแวะกินข้าว แล้วก็กลับบ้าน แค่เนี้ยะ ไรเนี่ย
........แต่เอ๋ เดี๋ยวก่อนนะ อืม....มันมีอะไรผิดปกติอยู่นะคือว่า เมื่อคืนพอตีแบดเสร็จก็ไปกินข้าว ไปกินข้าวหมูแดงที่ร้านนึงที่ไม่เคยรู้ว่ามันอร่อยและมีชื่อเสียงในแถบนั้น ก็เลยกินไปสองจานแล้วยังต่อบะหมี่เกี๊ยวแห้ง "ที่ใส่น้ำตาล" อีกชาม แล้วมันแปลกตรงไหน? ผมคิดว่า....ปกติคงไม่มีใครกินข้าวหมูแดงก่อนนอนซะสองจานแล้วต่อด้วยบะหมี่เกี๊ยวแห้งอีกชาม และส่วนที่ผิดปกติที่สุดก็เห็นจะเป็นบะหมี่เกี๊ยวแห้ง "ที่ใส่น้ำตาล" นี่ล่ะครับ เพราะปกติผมกินก๋วยเตี๋ยวไม่เคยปรุง!! นี่อาจจะเป็นผลจากความหวานของข้าวหมูแดง(ที่อร่อย) บวกกับน้ำตาลที่ผมไม่เคยได้รับมาจากก๋วยเตี๋ยว รวมกันเป็น "ตัวเรียกมด" ซึ่งจริงๆมดมันอาจจะอยู่มาตั้งนานแล้ว แต่ว่ามันไม่ออกมา "ดูด" ความหวานจากตัวผม เพราะว่าผมยังไม่หวานพอ

........คิดไปแล้วก็......ถามตัวเองว่า......"จริงหรอวะเนี่ย"