JoopIE's Blog

Finding Others Lifestyles

Tuesday, July 18, 2006

ระบบการศึกษาไทย

.......หากเรานำเด็กไทยก่อนเข้ารับการศึกษาจำนวน 100 คน เปรียบเทียบความฉลาดโดยเฉลี่ยกับเด็กประเทศอื่น เช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ( เน้นประเทศที่พัฒนาแล้ว) ซึ่งเป็นเด็กก่อนเข้าศึกษาจำนวน 100 คนด้วยเช่นกัน ถามว่าผลมันน่าจะออกมาเป็นอย่างไร ผมคิดว่ามันผลออกมาต้องพอๆกันแน่ๆ หรือไม่เราก็น่าจะฉลาดกว่า เพราะว่าผมเป็นคนไทย :D แต่ทำไมสุดท้ายผลผลิตทางการศึกษาของเราถึงได้"ด้อย"คุณภาพกว่าประเทศอื่นหลายๆประเทศที่เค้า"ด้อย"กว่าเราในหลายๆด้าน(ยกเว้นด้านการศึกษานี่ไง)
.......ประเทศอินเดีย ยากจนกว่าเรา สภาพสังคม(ทางวัตถุ)ล้าหลังกว่าเรา(แต่ทางจิตใจอาจจะพัฒนาไปสูงกว่ามากแล้วหรือเปล่าไม่รู้) คุณภาพชีวิตประชากรไม่ดีเท่าเรา ผู้คนอดอยาก ชุมชนแออัดมากมาย ประชากรของประเทศต้องแย่งกันอยู่แย่งกันกิน (ประชากรของประเทศเค้าหลักพันล้านนะ) แต่......ทำไม๊ ทำไม ทำไม คุณภาพการศึกษาของเค้าสูงกว่าเรามาก ประเทศอินเดียผลิต Programmer ทำงานทางด้าน Hardware&Software Computer กับบริษัทคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Intel AMD Microsoft ฯลฯ และยังมีนักวิชาการ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ระดับแนวหน้าของโลกมากมายเป็นคนอินเดีย ตรงนี้ถามว่าเป็นเพราะผู้ปกครองของประเทศเค้าตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาหรือเปล่า เค้าเห็นว่าไม่ว่าประเทศมันจะห่วยแตกยังไง แต่หากประชากรมีการศึกษาซะอย่างแล้ว ประเทศเค้าไม่มีทางล่มจมมั๊ง ผมว่าเค้าคิดถูก!!!
......กลับมาดูประเทศไทย ประเทศเรากินดีอยู่ดี มีอิสระเสรีภาพ มีความศิวิไลซ์ทั้งแสงสีเสียง ความเจริญทางวัตถุไม่แพ้ชาติใดในเอเชีย(เน้นว่าวัตถุ) แต่ดูเด็กไทยกันนิด ดูบัณฑิตไทยกันหน่อย ไม่อยากพูดอะไรมาก เหมือนด่าตัวเอง เรากำลังพัฒนาอะไรกันอยู่ แผนพัฒนาประเทศกี่ฉบับๆ ผ่านมากี่สิบปีๆ การศึกษาไทยมันก็ยัง....."งี่เง่า" ดูผลผลิตทางการศึกษาก็พอ ไม่ต้องไปหาว่ามันงี่เง่าจริงหรอ ถ้าอย่างนั้นถามว่าทำไมรัฐบาลไม่พัฒนาการศึกษาสักทีล่ะ ก็เพราะถ้าเค้าพัฒนาแล้วคราวหน้าก็ไม่มีใครเลือกเค้าอีกน่ะสิ!! คงมีนักการเมืองบางคน(จริงๆอยากใช้คำว่าทุกคน) พูดว่า " ไม่ได้หรอก หากกูพัฒนาการศึกษาแล้ว เกิดคนฉลาดเยอะๆ กูก็ซวยสิวะ ไม่ได้ๆ เพื่อเบี่ยงประเด็นว่าไม่เคยพัฒนาการศึกษา กูก็เอาเงินภาษีพวกมันนี่แหล่ะ ไปซื้อของมาล่อให้มันหลงระเริง ซื้อคอมพิวเตอร์ห่วยๆมาขายถูกๆ เอากำไรแต่บอกว่ายอมขาดทุนเพื่อการศึกษาของชาติ แล้วก็บอกว่าเพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนสำหรับส่งเสริมการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน ฟังดูดีจริงๆ เอามาอ้างเป็นผลงานหาเสียงสมัยหน้าได้ด้วย กูนี่ฉลาดจริงๆ หลอกคนไทยโง่ๆได้เกือบทั้งประเทศ " (ทั้งๆที่จริงๆเด็กเขียนหนังสือยังไม่ค่อยเป็นเลย จะให้ใช้ keyboard คอมพิวเตอร์ หรือจะให้เรียนผ่าน Internet อีก ไอ้...เอ้ย)
......ด่ารัฐบาลพอก่อน(ไว้ Post ใหม่ เอาแบบเต็มๆเลยดีกว่า) กลับมาที่การศึกษาไทย ส่วนที่ต่างกันของ"ระบบการศึกษาที่ดี"กับ"ระบบการศึกษาของไทย" คือความคิดของผู้เรียน เนื่องจากระบบการศึกษาไทยไม่ส่งเสริมให้เกิดการคิด ไม่ทำให้เด็กรู้จักคิด ไม่สร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบให้กับผู้เรียน แล้วถามว่าระบบคืออะไร คำตอบคือ ทุกอย่างที่อยู่ในการเรียนการสอนของเด็ก แต่ในที่นี้ขอเน้นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "ครู"
......เราให้ความสำคัญกับครูมากเกินไป การเรียนการสอนของไทยเรายังเน้นและยึดติดอยู่กับครูเกือบ 100% ไม่เหมือนวิธีการเรียนการสอนที่ให้ "เด็กคิด"มากกว่า "ครูคิด" ซึ่งครูจะมีส่วนน้อยมากกับการสอน เพราะเขาแทบไม่ต้องสอน!! พัฒนาการของผู้เรียน ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเอง เพราะว่าเขา"เรียนเอง อ่านเอง คิดเอง ทำความเข้าใจเอง" ครูมีหน้าที่"ตอบคำถาม"เมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจสิ่งที่เค้าไปทำมาตามประโยคข้างหน้านี้เท่านั้น เหมือนเป็น"ผู้สนับสนุนการเรียน"ให้กับผู้เรียนมากกว่า เปลี่ยนบทบาทครูจากการผู้ให้ทางตรง เป็นผู้ให้ทางอ้อม แล้วให้ผู้เรียนเป็นผู้ให้ทางตรงกับตัวเขาเองซึ่งสร้างความสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนได้มากกว่า เพราะผู้เรียนได้สองอย่างพร้อมๆกัน นั่นคือความรู้และกระบวนการคิด วิธีที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ "ครูนำความรู้ยัดใส่หัวเด็ก" เด็กเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ท่องเอา เพราะว่าเขาโดนความรู้ยัดใส่เข้ามา "เขาไม่ได้ย่อยมันเอง จัดเรียงความรู้เข้าสู่สมองของเขาเอง"
.......หากคิดจะให้ลูกของท่านเรียนในประเทศไทย ก็โปรดยอมรับในระบบการศึกษา"ห่วยๆ"ของไทยไว้ด้วย และอย่างน้อยก็เลือกโรงเรียนดีๆหน่อยนะครับ แต่ไม่ได้บอกว่าโรงเรียนดีๆที่คุณคิดไว้จะไม่มี"ครูห่วยๆ" นะครับ แต่ก็อ้างว่ามันมีน้อยละกัน เพราะคำว่า"คุณภาพของครู"สำหรับผมแล้วก็..... พูดกันตรงๆแบบขวานผ่าซาก แต่ให้ท่านคิดเอาเองดีกว่า คนที่มาเป็นครู คือคนที่ผ่านระบบการศึกษาห่วยๆของไทยมาใช่ไหม คำตอบคือ "ใช่" คนที่มาเป็นครู มีจำนวนน้อยที่ตั้งใจจะมาถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ คำตอบคือ"ใช่" คนที่มาเป็นครูหากเขามีวิธีทำเงินที่ดีกว่า มากกว่า เขาคงจะไม่มาเป็นครูใช่หรือไม่ คำตอบคือ"ใช่" คนที่มาเป็นครู ส่วนมากเขาต้องการความก้าวหน้าทางวิชาการและความก้าวหน้าทางสังคมของตัวเอง มากกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้รับการสอน ใช่หรือไม่ คำตอบคือ"ใช่" มีคำถามอีกมากมายที่สะท้อนถึง"คุณภาพของครู"ของประเทศไทย ถ้าคนที่จะทำให้สมองของชาติดีหรือไม่ดีมีปัญหาซะแล้วเนี่ย คุณคิดว่าเรายังจะหวังอะไรจากใครได้อีก ในเมื่อเราก็ผ่านเจ้าสิ่งห่วยๆสิ่งนี้มาด้วยกันทั้งนั้น
......วันนี้มาแรง วันนี้เล่นแรง แต่อย่าเข้าใจผิดว่าผมด่าทุกคนโง่ แล้วผมฉลาดอยู่คนเดียว เพราะผมก็ผ่านระบบการศึกษาไทยมาเหมือนกันนะ แต่ผมแค่อยากจะบอกว่า เรามีระบบการศึกษาที่"ส่งเสริมและสนับสนุน"ให้เกิด"คนโง่มากกว่าคนฉลาด" ก็แค่นั้นล่ะครับ สวัสดีครับ

ป.ล. หากมีใครอ่านแล้ว คิดอะไรเจ็บๆแสบๆได้ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ เผื่อจะทำให้การศึกษาไทยดีขึ้น(แบบนามธรรมนะ เพราะเราไม่ได้ลงมือทำอะไรกันอยู่ดีใช่มะ)

Monday, July 10, 2006

Spend the life with happiness

..........ความสุขคือตัวขับเคลื่อน ความสุขคือแรงบันดาลใจ ความสุขคือพลังสำหรับการทำทุกอย่าง เมื่อคิดจะทำอะไร ถ้าคิดว่าทำแล้วมีความสุข ทำไปเลยครับ แต่ก็ขอให้คิดด้วยว่ามันคือความสุขชั่วครั้งชั่วคราวหรือเปล่า ระวังการกระทำบางอย่างเพื่อความสุขวันนี้มันจะก่อให้เกิดความทุกข์ในวันหน้าด้วยนะครับ เมื่อท่านรู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย เครียด เผชิญกับปัญหา หรืออาการไม่อยากเดินออกจากบ้านตอนเช้าเพื่อไปทำงานแล้วกลับมาถึงบ้านด้วยสภาพซังกะตายในตอนค่ำ ก็จงคิดแค่ว่า"มีความสุขอีกมากมายที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา เราไม่ควรอยู่ในภวังค์แห่งทุกข์ เพราะเมื่อเราทุกข์ ความสุขก็ย่อมไม่เกิดกับเรา" อย่าถามตัวเองว่าทำไมเราต้องมาเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ด้วย มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย วิธีที่ดีสำหรับการเริ่มต้นมีความสุข คือ การคิดเชิงบวก หรือการมองโลกในแง่ดีนั่นเอง
..........สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้ท่านอยากมีชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป ก็คือ การเห็นคุณค่าของตัวเอง จงภูมิใจในความเป็นตัวของคุณเอง คุณเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นอะไรแย่ๆสำหรับใคร คุณมีคุณค่าสำหรับคนอื่นเสมอ แต่คนแรกที่ต้องเชื่อในความคิดนี้ก็คือตัวคุณเอง ขอให้คุณมีชีวิตเพื่อความสุขของตนเองและผู้อื่นนะครับ สวัสดี

วันงืดๆ

3 ก.ค.49
.............วันที่อากาศร้อนอบอ้าวมาก ควรจะหาที่เย็นๆอยู่ หาอะไรเย็นๆดื่ม แต่อะไรดลใจล่ะเนี่ย หาเรื่องให้ตัวเองทั้งๆที่มันไม่จำเป็นล้ยยยยยย แต่ก็ทำ! คือแบบว่า....อยากได้ไม้แบดอันใหม่(มีอยู่แล้ว 5 อัน) เงินเยอะเกินไป อยากเสียเงินๆๆๆๆๆ ดูนาฬิกา 14.50 น. มีสอน 18.00 น. เอาวะๆ ยังทันๆ แต่งตัวๆ เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว รองเท้าหนัง ร้อนฉิบหาย เหงื่อออกอย่างจัด ตัวเหนียวเหนอะหนะ แต่ก็ออกเดินทาง

15.10 : นั่งรถประจำทางสาย 162 ไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี (เสื้อเปียก 5%)
15.34 : ขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีช่องนนทรี (เสื้อเปียก 15%)
15.56 : ลงรถไฟฟ้าที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม (เสื้อเปียก 10%)
16.15 : มาถึง Central World Plaza ด้วยการเดิน Skywalk (เสื้อเปียก 26%)
16.25 : หลงทางใน Central World Plaza ในส่วนของตึกสำนักงานที่อยู่ตรงข้ามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเข้าใจว่ามันทะลุกับตัวห้างสรรพ
สินค้าที่อยู่ตรงข้ามกับBigC ซึ่งจริงๆมันได้ แต่ว่าตอนนี้ทางเดินทะลุกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง (เสื้อเปียก 35%)
16.32 : วนเวียนใน Central World Plaza หาทางเดินไปร้าน Yonex ด้วยความทรมานเพราะว่าทั้งห้างเต็มไปด้วยกลิ่นสี ทินเนอร์ แลคเกอร์
ฝุ่นละออง คนหน้าตาแย่ และโคตรร้อน (เสื้อเปียก 48%)
16.43 : ได้รู้ว่าร้าน Yonex ปิดหลังจากเดินวนไปวนมาหาทางไปฝั่ง Zen ให้ได้ (ก็ห้างมันกำลังปิดปรับปรุงไง ไอ้โง่!!) (เสื้อเปียก 62%)
17.02 : มาถึงสถานีรถไฟฟ้าสยามอีกครั้งด้วยSkywalk เหมือนเดิม (เสื้อเปียก 80%)
17.19 : ลงรถไฟฟ้าที่สถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ (เสื้อเปียก 77%)
17.45 : มาถึงซอย 18/7 แยก 15 ของซอยเซ็นต์หลุยต์ซอย3 ด้วยการเดินจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ (เสื้อเปียก 96%)
17.46 : นั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านหยูง้วนกับคำถามของบริกรที่ว่า"ข้างนอกฝนตกหรอค่ะ" (เสื้อเปียก 100%)
18.00 : ไปสอนเด็กม.3 อัสสัมชันคอนแวนต์ (เสื้อเปียก 80%)
20.00 : จบ Class (เสื้อแห้ง)
20.30 : กลับถึงบ้าน
23.15 : ซัดพาราเซตามอลไป 2 เม็ด

สรุป


  • ไม่ควรดันทุรังทำอะไรไปทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ work หรือเพียงแค่ต้องการสนองตัณหาชั่วคราว
  • อย่าใสเสื้อเชิ้ตตัวนั้นอีก(มารู้ตอนหลังว่ามันเป็นเสื้อเชิ้ตพิเศษ เก็บความร้อนเป็นเลิศ)
  • ไม่ควรพึ่งการเดินทางด้วยรถยนต์บนถนนสาทรตั้งแต่ 17.00 น.(ทำให้ผมต้องเดินจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์มาถึงเซ็นต์หลุยต์ซอย3 นี่ไง แง่งๆๆๆๆ)
  • บริกรร้านก๋วยเตี๋ยวมันไม่ได้ประชด แต่สภาพตอนนั้นของผมมัน.....ชุ่มมมมม)
  • รวมระยะทางการเดิน > 4 กม.