JoopIE's Blog

Finding Others Lifestyles

Wednesday, August 31, 2005

Do you know what you are doing?

พักเรื่องกลอนไว้ก่อนนะครับ พอดีวันนี้ได้แรงบันดาลใจจากความว่างของตัวเอง

คุณเคยหยุดคิดซักนิดไหมครับว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ ระหว่างที่คุณกำลังทำอะไรซักอย่าง ถ้าคุณทำ แปลว่าคุณมีสติ สำคัญอย่างยิ่งที่ในระหว่างที่คุณกำลังทำอะไรซักอย่างแล้วคุณรู้ตัวว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ มันจะช่วยให้คุณรู้ว่าตอนนี้ตัวคุณเองอยู่ตรงไหน ทำอะไรมาบ้างแล้ว และควรจะทำอะไรต่อ
ถ้าหากคุณกำลังทำงาน routine อยู่ เป็นงานที่ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอบอกว่าไม่จริงครับ ยังไงก็ตามหากคุณต้องการให้มันออกมาดีกว่าทุกครั้งล่ะก็ ขอแนะนำว่าคุณควรมอบสติของคุณลงไปในงานด้วยครับ (หมายถึงใส่ใจน่ะครับ)

หากถามว่าจะมาบอกกูทำไมวะเนี่ย คำตอบก็คือถ้าคุณก้มหน้าก้มตาไปทำเรื่อยๆ แม้มันจะเสร็จ แต่ว่ามันจะไม่มีค่าครับ โดยเฉพาะคุณค่าในสายตาของตัวคุณเอง ย้ำว่าตัวคุณเองนะครับ เพราะว่าในสายตาคนอื่นเนี่ย แน่นอนว่ามันย่อมมีทั้งคนที่เห็นและไม่เห็นในคุณค่าของมัน

จบซะงั้น ดื้อๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

Saturday, August 20, 2005

Something About Glorn(กลอน) 2

ในคราวที่แล้วได้กล่าวไว้ว่ากลอนที่มีความไพเราะนั้น ควรจะมีฉันทลักษณ์ที่ถูกต้อง มาในวันนี้จึงจะมาบอกต่อว่าฉันทลักษณ์ที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร

หลายท่านที่อ่านอาจจะคิดว่า ฉันทลักษณ์ของกลอนแปดนั้นคือการแต่งให้แต่ละวรรคมี 7-9 พยางค์ก็เป็นอันถูกต้อง แต่จริงๆแล้วในเรื่องฉันทลักษณ์นั้น จะมีเรื่องของเสียงวรรณ์ยุกต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนี้

1.วรรคสดับ(วรรคแรก) ลงท้ายด้วยเสียงใดก็ได้ที่ไม่ใช่เสียงสามัญ (จริงๆเสียงจัตวาก็ไม่ควร แต่หากจำเป็นก็พออนุโลมได้)
2.วรรค์รับ(วรรคที่สอง) ลงท้ายด้วยเสียงจัตวาจะถูกต้องและให้ความไพเราะที่สุด
3.วรรครอง(วรรคที่สาม) ลงท้ายด้วนเสียงสามัญ
4.วรรคส่ง(วรรคที่สี่) ลงท้ายด้วยเสียงสามัญ

จริงๆแล้วหากท่านผู้อ่านได้อ่านกลอนมาบ้างจะพบว่าไม่เสมอไปที่กลอนจะต้องยึดถือตามรูปแบบนี้ แต่เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ทำให้เกิดความไพเราะในการอ่านมากที่สุด(ไม่ว่าจะเป็นการอ่านแบบร้อยแก้วหรือร้อยกรอง) จึงทำให้เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมและแทบจะเป็นแบบบังคับในการลงเสียงไปแล้ว

ในคราวหน้าจะมาพูดต่อว่าถ้ามันไม่เป็นตาม 4 ข้อนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แล้วมันจะยังเพราะอยู่หรือป่าว

Tuesday, August 16, 2005

Something About Glorn(กลอน)

ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี ก็...เอาอันนี้ละกัน คือว่าที่มาของการเขียนเรื่องนี้ คือ เราเพิ่งแต่งกลอนเสร็จไปเมื่อเร็วๆนี้ จริงๆแล้วก็เคยคิดว่าทำยังไงมันถึงจะไพเราะเพราะพริ้งเสนาะนิ้งรัญจวนจิตผู้ยลพิศกรองกานท์(อ่า...ได้ feeling กับหัวเรื่องดีมะ แหะๆ) คำตอบ....ก็อยู่ในบทความนี้ล่ะครับ

หลายคนอาจจะเคยแต่งกลอน(ในที่นี้ขอพูดถึงแต่กลอนแปดนะ) แต่ก็ดังเช่นธรรมชาติทั่วไป ไม่ว่าเรื่องใดหากเราไม่ได้มีพรสวรรค์พิเศษหรือฝึกฝนเป็นประจำแล้ว เราย่อมไม่สามารถทำสิ่งนั้นๆได้อย่างคล่องแคล่วหรือเกิดผลเป็นที่น่าพอใจฉันใด การแต่งกลอนก็ฉันนั้น เราเคยแต่งบ่อยๆตอนเรียนมัธยมปลาย ซึ่งก็ไม่คิดว่ามันจะช่วยให้เราหน้าตาดีขึ้นแต่อย่างใด (มาตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้ช่วยให้หน้าตาดีขึ้นจริงๆ T_T) แต่หารู้ไม่ว่าประโยชน์ของมันจริงๆแล้วมากมายและมีค่ากว่าการที่ทำให้เราหน้าตาดีขึ้นซะอีก เพราะอย่างน้อยๆก็ทำให้คุณเป็นคนที่พร้อมจะมอบสิ่งดีๆให้กับคนอื่นโดยสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าสิ่งของใดๆ นั่นคือกลอนซึ้งๆกินใจซักสองบทที่คุณแต่งขึ้นเอง โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันจะทำให้ผู้รับมองและรู้สึกดีกับคุณมากขึ้น มากกว่าการที่คุณไปยันฮีทำหน้าตามาใหม่ให้เหมือนดาราด้วยนะ :D

เริ่มต้นขอออกตัวว่าเราไม่ได้แต่งกลอนเก่ง ไพเราะ และเชี่ยวชาญแต่อย่างใด เพียงแต่ได้ศึกษาความรู้หลักการหรือแนวทางการแต่งกลอนมาเท่านั้น จึงต้องการที่จะเผยแพร่ให้กับท่านผู้อ่าน อย่างน้อยก็เข้าทำนองรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามใช่มะ เอาล่ะ....เรามาเริ่มพิจารณาดูกันว่ากลอนที่เราเราท่านท่านฟังแล้วรู้สึกว่ามันเพราะเนี่ย มันเป็นอย่างไร

กลอนที่มีความไพเราะนั้นจะประกอบไปด้วยส่วนประกอบหลักดังต่อไปนี้
1. ฉันทลักษณ์ที่ถูกต้อง(ประมาณ 98% นะ อีก 2 % คือเผื่อว่าเป็นเทคนิคหรือว่าการเล่นคำในบางส่วนของผู้ประพันธ์ ซึ่งอาจทำให้ผิดฉันทลักษณ์ไปเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าไม่เป็นข้อเสียหายแต่อย่างใด)
2. เนื้อความมีสัมพันธภาพและเอกภาพ(อย่างนี้ Einstien คงแต่งกลอนเก่งเนอะ)
3. มีสัมผัสในแพรวพราวทั้งสัมผัสสระและอักษร(สัมผัสนอกอยู่ในเรื่องฉันทลักษณ์ไปแล้วนะ)
4. เริ่มต้นบทแรกได้ประทับใจ และจบบทสุดท้ายได้อย่างสวยงาม (อันนี้ผมว่ายากที่สุด)

ในส่วนนี้จะเป็นแนวทางที่ช่วยส่งเสริมให้เราแต่งกลอนดีๆซักบทเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตามแต่ครับผม
1. อ่านกลอนมาในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะของครูกลอนทั้งหลายทั้งในอดีตและปัจจุบัน
2. เป็นนายธนาคาร(ธนาคารศัพท์)
3. รู้จัก Synonym ของคำไทยพอสมควร (ใช้คำไทย แต่ดันใช้ศัพท์อังกฤษนะเรา อย่าว่าเราน้า......)
4. สุดท้ายคือ แต่งบ่อยๆ (แต่งกลอนนะ มะใช่แต่งงาน :D)

ฝากไว้ก่อนจบสักเล็กน้อยสำหรับท่านที่เคยแต่งกลอนแล้วคิดว่าการที่กลอนของเราไม่เพราะ
เนี่ย คงเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ใช้ศัพท์หรูหราฟู่ฟ่าอลังการมารตะลึง ทำให้มันดู Low class หรือบางจุดบางที่มันลงคำได้ไม่ไพเราะ ก็ขอฝากไว้ว่าจริงในส่วนหนึ่งอย่างที่ท่านคิด แต่ก็ไม่จริงอยู่หลายส่วนดังนี้ครับ
1. ท่านลองไปอ่านกลอนของท่านสุนทรภู่แล้วจะพบว่าบรมครูกลอนของเรานั้น ไม่ได้ใช้คำศัพท์อะไรเลิศเลอเกินกว่าเราเราท่านท่านจะนึกถึง เพียงแต่ท่านสามารถนำคำคำนั้นมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะในวรรคกลอนวรรคนั้น ซึ่งทำให้แม้เป็นเพียงคำธรรมดาก็ก่อให้เกิดความไพเราะได้อย่างลงตัวและสง่างาม
2. ในการแต่งกลอนแต่ละครั้ง เราต้องคำนึงถึงระดับของผู้ที่เราหมายความถึง หรือผู้ที่เราจะแต่งกลอนนี้ให้ในบทประพันธ์นั้นด้วยครับ คำศัพท์สูงก็นั้นส่วนมากจะใช้เฉพาะในการแต่งกลอนถวาย หรือแต่งกลอนสำหรับของสูงครับ ดังนั้นหากเป็นการแต่งกลอนทั่วไป เพื่อจุดประสงค์ทั่วไป ไม่ใช่การแต่งเฉพาะสำหรับพิธีการสำคัญเกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราก็ไม่ควรใช้คำศัพท์สูงๆเหล่านั้นเช่นกันครับ
แค่นี้ก็คงจะพอสำหรับการ post อะไรมีสาระๆ เป็นครั้งแรก ขอแนะนำและเชิญชวนผู้ท่าน
ทุกท่านไปอ่านเพิ่มเติมที่
http://www.geocities.com/poetichome/ ที่นี่เค้าจะมีในส่วนของการแต่งกลอนสำหรับผู้เริ่มต้น และวิธีการเริ่มต้นบทแรกและการจบบทสุดท้ายให้ประทับใจด้วยครับ สวัสดีครับ

เปิดตัว....แบบว่า.....ตามกระแสง่ะ

ใครๆเค้าก็มีกัน เราก็เลยจำเป็นต้องบ้าตามเค้าบ้างเล็กน้อย อิอิ ยังไม่รู้เลยว่าจะใส่อะไรลงไปบ้างเนี่ย แต่จริงๆแล้วเคยทำเว็ปของตัวเองนะ แต่ว่ามันเสร็จไป 60% แล้วขี้เกียจทำ databse ต่อ(เพราะว่าจะใช้ ASP แต่ว่าเขียนโปรแกรมไม่เป็น ลอก tag จากหนังสือทั้งดุ้นก็ run ไม่ผ่านไปแปดรอบครึ่ง กว่าจะแก้ได้ T_T ด้วยความอดทนอันน้อยนิดของเราก็เลยดองจนขี้เกลือขึ้นเว็ป) เอาเป็นว่าอะไรที่เคยอยู่ในนั้นจะพยามเอามันมาใส่ในนี้ให้ผู้ที่ได้ผ่านเข้ามาชื่นชม(ด่าทอ)กันนะคร้าบบบบบบบ