JoopIE's Blog

Finding Others Lifestyles

Friday, November 25, 2005

วันหนึ่งเมื่อปีสี่เทอมหนึ่ง

...........เช้านี้เป็นอีกวันหนึ่ง ซึ่งสำหรับหลายคนแล้วก็คงเป็นวันธรรมดาที่ไม่แตกต่างไปจากวันอื่นมากนัก มีเพียงสายฝนแผ่วเบาที่โปรยปรายลงมาเหมือนเป็นสัญญาณว่ามันอาจไม่ใช่วันธรรมดาสำหรับบางคนก็ได้ ใช่แล้ว...หนึ่งในบางคนนั้นก็คือผมเอง ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งเวลาประมาณ 8.45 น. ความไม่ธรรมดาจึงเริ่มบังเกิดขึ้น ขณะที่ผมกำลังขับรถอ้อมวงเวียนด้านหลังของหอประชุมจุฬาฯ เพื่อนำรถไปจอดและเข้าเรียน Lab ในเวลา 9.00 น. ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกแปลกๆที่แล่นเข้ามาในหัวของผมหลังจากที่ผมกวาดสายไปเห็น...อา...นิสิตสาวร่างระหง ผิวพรรณผุดผ่อง ขาวนวลตัดกับกระโปรงสั้นสีดำตัวนั้น ยืนถือร่มสีดำอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีละอองของเม็ดฝนสาดเซ็นลงมาอย่างช้าๆ มันช่างเป็นภาพที่หาดูไม่ได้ตามสภากาชาดจริงๆ แม้ผมจะไม่ได้คิดอกุศลกับเธอ แต่บรรยากาศจากสายฝนฉ่ำเย็นที่พร่างพรูลงมากอรปกับดอกไม้หลากสีที่ประดับประดาอยู่บริเวณนั้น ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถูกปลูกขึ้นมาเพื่อเธอ แต่มันกลับเพิ่มความน่าสิเหน่หาและความน่าพิสมัยในตัวเธอได้เป็นอย่างดี จนผมอดเคลิบเคลิ้มไปกับรูปที่เข้ามาเร้าให้ผมหวั่นไหวไม่ได้ แม้ว่ามันจะเพียงชั่วอึดใจหนึ่งเดียวที่ผมได้สัมผัสเธอทางสายตา(ทำได้ไงหวา) แต่นั่นก็ทำให้ไฟราคะหนุ่มของผมพวยพุ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ถ้าหากผมได้เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจนด้วยแล้วล่ะก็ ผมคงตอบตัวเองได้ว่าเธอคนนี้ ใช่นางในซีดี เอ้ยนางในฝันของผมหรือไม่

...........หลังจากวินาทีนั้นเอง ผมละสายตากลับมาขับรถต่อไป แต่จิตใจของผมมันกลับไม่ได้อยู่ที่ถนนและพวงมาลัยของรถเสียแล้ว ผมครุ่นคิดอยู่ว่าเหตุใดสาวนางนั้นจึงได้มายืนอยู่ตรงนั้น แม้ผมจะไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตาแห่งความรักมากนัก แต่ในภวังค์นั้น ผมกลับพยามหลอกตัวเองว่ามันมีอยู่จริงเพื่อเป็นการจุดประกายไฟ(ราคะ) ให้ผมกล้าที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ หรืออย่างน้อยความเชื่อนี้ ก็คงส่งเสริมให้ผมกล้าที่จะทำอะไรซักอย่าง โดยไม่ปล่อยให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้น...ผ่านมา...แล้วก็ผ่านไป ..........เมื่อผมจอดรถเสร็จแล้ว ผมไม่รอช้าที่จะเดินกลับไปยังที่ที่ผมได้เห็นเธอ แต่แล้วผมกลับพบแค่ความว่างเปล่า เธอหายไปเสียแล้ว ไม่ ไม่ ไม่ นี่เรามาช้าไปหรือนี่ ไม่สิ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ผมรีบกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อหาเธอ อา.......นั่นไง ผมพบเธอแล้ว เธอกำลังเดินไปทางหน้าคณะของผมพอดีเลย สวรรค์เป็นใจอะไรเช่นนี้ ขณะนั้นแม้อากาศจะเย็นเนื่องจากฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้า อีกทั้งตัวผมก็เปียกไปบ้างจากฝนที่ยังตกพรำๆ แต่นั่นกลับไม่ทำให้ในใจของผมเย็นแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันกลับร้อนรุ่มไปด้วยความตื่นเต้น ความกังวล ความประหม่า และอีกหลายความรู้สึกที่ประดังเข้ามาประหนึ่งไฟที่ถาโถมจากเชื้อเพลิงระลอกแล้วระลอกเล่า ผมเดินตามเธอไปอย่างกล้าๆกลัวๆจนเธอเดินผ่านหน้าคณะไป แย่แล้ว ผมจะกำลังจะพลาด!! ไม่จริง มันมีควรจบลงแบบนี้ ผมมาไกลเกินกว่าที่จะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว ผมไม่คิดอะไรทั้งสิ้นแล้วตอนนี้ ผมต้องเดินเข้าไปหาเธอเสียก่อน ส่วนที่เหลือหลังจากนั้น ขอให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิตเถอะ

...........อา......อีกนิด......อีกนิด.....โอ้ว ถึงแล้ว ผมเดินมาถึงตัวเธอแล้วจากด้านหลัง สมองสั่งแขนขวาของผม ยื่นออกไปสะกิดเธอจากด้านหลังทันที วินาทีนั้น หัวใจของผมเต้นแรงมาก เหมือนกำลังจะเปิดซองผลเอ็นท์ ไม่สิ มันตื่นเต้นกว่านั้น เหมือนกำลังจะไปดูคะแนนกลางภาควิชาสุดหินกับเพื่อนๆ ไม่สิ มันตื่นเต้นกว่านั้นอีก ใช่แล้ว มันเหมือนกับการดูภราดรตีลูก backhand หยอดจากท้ายคอร์ดที่ต้องลุ้นกันตัวโก่ง ไม่น่าเชื่อว่า shot ปัญญาอ่อนอย่างนั้นจะหยุดลมหายใจของแฟนเทนนิสเมืองไทยได้ กลับมาที่เรื่องของเธอต่อ ดีกว่า วินาทีนั้น วินาทีนั้นที่เธอหันหน้ามาหาผม ผมแทบจะหยุดลมหายใจของตัวเองไปทีเดียว ผมได้เห็นใบหน้าของเธอแล้ว แม้มันจะมีความงามในระดับที่ยอมรับได้ แต่นั่นกลับสร้างความผิดหวังให้ผมเล็กน้อย(ถึงเราไม่หล่อ แต่คิดว่าเค้าน่าจะสวยกว่านี้) ไม่เป็นไร มาถึงขั้นนี้จะให้ผมพูดว่า “ขอโทษครับ ผมทักคนผิด” ถ้าผมทำอย่างนั้นมันคงจะเสียฟอร์มเกินไป เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน ผมเริ่มบทสนทนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเธอทันที
“สวัสดีครับ เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือป่าวครับ” ผมพูด(อันนี้ตามตำรา เสี่ยวสุดๆ แต่ว่าก็ได้ผลดี)

“อืม ค่ะ ดิฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ แต่ก็คุ้นๆเหมือนกัน” เธอตอบ(อันนี้เรียกว่าคำตอบรักษามารยาท จริงๆหล่อนคิดในใจว่า “ไอ้นี่แม่งใครวะ” )

“คุณชื่ออะไรหรือครับ” ผมถามเธอต่อ (เผื่อฟลุ๊คจะได้บอกว่า อ๋อ คุณ....นี่เอง)

“ชื่อปรินค่ะ”

“ผมอยู่คณะวิศวะครับ แล้ว.....คุณอยู่คณะอะไรหรือครับ” (ก็แบบว่าขอเก็บข้อมูลเพื่อสร้างเรื่องคุยต่อง่ะ)

“ค่ะ นี่ไงค่ะ คณะวิศวะ(ชี้ไปที่ตึก)” (รถวิ่งผ่านพอดี สงสัยเธอจะฟังไม่ชัด)

“อ่อ ครับ ใช่ครับ คือผมอยู่คณะวิศวะนี่ล่ะครับ แล้วคุณอยู่คณะอะไรหรือครับ”(ความมั่นใจลดลง 10%)

“อ๋อ ชั้นอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ค่ะ” (เธออาจจะกำลังคิดว่ารับมุกมันไปก่อน เดี๋ยวค่อยดูว่ามันต้องการอะไรจากกู)

“ปีอะไรแล้วหรือครับ” (เก็บข้อมูลอีกนิดหน่า จะได้ยื้อได้นานๆ)

“ปีสองค่ะ” เธอตอบอย่างรวดเร็ว (ก็ไม่เสียหายนี่นา ไม่ใช่เบอร์โทรหรือว่าที่อยู่)

“อืม เค้าเลือก major กันแล้วใช่ไหมครับ”(ทำตัวเหมือนเป็นคนไม่รู้เรื่อง อยากสอบถามอะไรเฉยๆ)

“ใช่ค่ะ แต่ว่าพวกรับตรงเข้ามาตั้งแต่ปีหนึ่งก็มี”(เธอเริ่มมีสายตา ระแวงเล็กๆในความซอกแซกของเรา)

“คือว่าผมต้องไปแล้วล่ะครับ มีเรียนตอน 9.00 น. แต่คือผมคิดว่ามันน่าจะดีหากเราได้คุยกันต่อ”(อื้ม บอกจุดประสงค์ซักที)

“เอ่อ ค่ะ ก็......”(ขอเบอร์ชั้นซักทีสิ จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย)

“คือว่า....ผมต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะเข้าสาย ผมขอเบอร์ติดต่อคุณได้ไม๊ครับ”(กรี๊ด.....อะไรสั่งให้ผมพูดประโยคนี้ออกไปเนี่ย หน้าด้านจริงๆ)

...................................กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงง................ความซวยมาเยือน ไอ้เวรเอ้ยยยยยยยย ทำไมออดมันต้องมาดังตอนนี้วะ เวรจริงๆ หล่อนไม่รอช้า รับมุกทันที

“เอ่อ ออดดังแล้ว เดี๋ยวเข้าสายนะค่ะ” (ออดมาช่วยไม่ทันเวลา ไม่งั้นไม่รู้จะปฏิเสธมันอย่างสุภาพยังไง)

“เอ่อ..........คือคุณไม่สะดวกหรือครับ” (เอาวะ ไม้ตายสุดท้าย )

“ก็......ไม่หรอกค่ะ แต่ชั้นรู้สึกมันเร็วเกินเล็กน้อย” (เดาว่าคงมีคนขอเบอร์เธอเยอะใช่เล่น โอภาปราศรัยดีจัง)

“ครับ งั้นก็.....ไม่เป็นไรครับ ไว้พบกันใหม่นะคับ” (ยังรู้สึกดีกว่าไม่เข้ามาทัก แล้วปล่อยให้เธอเดินผ่านหน้าคณะไปเฉยๆ)

“ค่ะ”


............ถึงวันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเธอยังกล้าเดินผ่านหน้าคณะวิศวะอยู่หรือป่าว หลังจากที่มีไอ้โรคจิตคนหนึ่งได้เข้าไปขอเบอร์เธออย่างหื่นกระหาย(ไม่ใช่มั๊งกู) แม้ใครๆอาจคิดว่า การจบลงแบบ happy ending หรือประสบความสำเร็จ คือการได้เบอร์จากเธอมา แต่นั่นมันไม่ใช่สำหรับผม(ไม่ได้ปลอบใจเลยนะเนี่ย) ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างใด ในคำจำกัดความแบบไหนของใคร แต่ถึงตอนนี้มันก็ยังคงเป็นความทรงจำที่ดี และความทรงจำที่ตื่นเต้นสำหรับผมทุกครั้งที่ผมคิดถึงมัน วันนั้นผมเดินขึ้นไปเรียน lab ด้วยอารมณ์เมหือนคนทำข้อสอบได้(แต่ผิด) หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปได้สองวัน มีคนได้รับฟังเรื่องนี้จากผมไปแล้วกว่า 10 คน หลายคนบอกว่าผมบ้า หลายคนบอกว่าทำไปได้ยังไง หลายคนบอกว่าผมหน้าด้าน แต่คำหนึ่งที่ผมได้ยินจากทุกคนนอกจากเสียงพูดไปต่างต่างนานาก็คือ “ไอ้หน้าม่อ”

0 Comments:

Post a Comment

<< Home